การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักซิปปา เป็นการพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการรอบด้านของผู้เรียนอย่างเหมาะสมทั้งด้านร่างกาย
สติปัญญา สังคม และอารมณ์
โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองจากการลงมือปฏิบัติจริง
ตามความถนัดและความสนใจของผู้เรียน
กระตุ้นให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดอย่างเต็มที่
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นและสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ
และสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีและทำให้การเรียนรู้นั้นมีความหมายต่อผู้เรียนยิ่งขึ้น โดยผู้วิจัยได้นำหลักซิปปามาใช้ออกแบบแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับวิชาคณิตศาสตร์ดังนี้
C: Construction
of Knowledge
โดยครูกำหนดประเด็นปัญหาทางคณิตศาสตร์เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้ความคิดหรือลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อสร้างความหมายและความเข้าใจให้แก่ตนเอง
I: Interaction โดยให้ผู้เรียนได้ปฏิสัมพันธ์กับสื่อ โสตทัศนวัสดุ และเทคโนโลยีต่าง ๆ
บุคคลแวดล้อม เช่น ครู เพื่อนในห้องเรียน
และสิ่งแวดล้อมทางกายภาพต่าง ๆ ที่พบเจอในชีวิตประจำวัน
P: Physical
Partcipationโดยครูจัดกิจกรรมเป็นรายบุคคลและรายกลุ่มที่มีลักษณะหลากหลาย
เอื้ออำนวยให้ผู้เรียนได้เคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เกิดความพร้อมในการเรียนรู้ มีความกระฉับกระเฉง
ตื่นตัว ไวต่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
P:
Process Learning โดยฝึกฝนและส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะ
การทำงานเป็นกลุ่ม ทักษะ/กระบวนการทางคณิตศาสตร์ในด้านการแก้ปัญหา การให้เหตุผล
การสื่อสาร การสื่อความหมายทางคณิตศาสตร์ และการนำเสนอ การเชื่อมโยง
และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
A: Applicationโดยให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมหรือแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่มีสถานการณ์สอดคล้องหรือใกล้เคียงกับชีวิตประจำวัน ฝึกฝนให้ผู้เรียนได้นำเสนอ ตรวจสอบ
ปรับขยายความคิดและความรู้ทางคณิตศาสตร์
กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา
กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา
สามารถใช้วิธีการและกระบวนการที่หลากหลาย
อาจจัดเป็นแบบแผนได้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ ทิศนา แขมมณี(2548ข: 87–88) ได้เสนอรูปแบบหนึ่งที่ได้นำไปทดลองใช้แล้วได้ผลดี ประกอบด้วยขั้นตอนการดำเนินการ
7 ขั้นตอนสรุปได้ดังนี้
ขั้นที่ 1 การทบทวนความรู้ เป็นขั้นตอนการดึงดูดความรู้เดิมของผู้เรียนในเรื่องทีเรียน
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตนเอง
ซึ่งผู้สอนอาจใช้วิธีการสอนหรือเทคนิคการสอนต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย
ขั้นที่ 2 การแสวงหาความรู้ใหม่ เป็นขั้นตอนการแสวงหาความรู้ใหม่ของผู้เรียนจากแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้ต่าง
ๆ ที่ผู้สอนได้จัดเตรียมมาให้ผู้เรียนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับแหล่งการเรียนรู้ข้อมูลต่าง
ๆ ที่ผู้เรียนสามารถแสวงหาความรู้ด้วยตนเองได้
ขั้นที่ 3 การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนจะต้องศึกษา
และทำความเข้าใจกับข้อมูลและความรู้ที่หามาได้
ผู้เรียนต้องสร้างความหมายของข้อมูลและประสบการณ์ใหม่ ๆ โดยใช้กระบวนการต่าง ๆ ด้วยตนเอง เช่น กระบวนการคิด
กระบวนการกลุ่มในการอภิปรายและสรุปความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลนั้นที่มีความจำเป็นต้องอาศัยเชื่อมโยงกับความรู้เดิม
ขั้นที่ 4 การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนอาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตนว่าถูกต้องหรือไม่
รวมทั้งเป็นการขยายความรู้ความเข้าใจของตนเองให้กว้างขึ้น
ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้แบ่งปันความรู้ความเข้าใจของตนแก่ผู้อื่น
รวมทั้งการได้รับประโยชน์จากความรู้
ความเข้าใจของผู้อื่นไปพร้อม ๆ กัน
ขั้นที่ 5 การสรุปจัดระเบียบความรู้และวิเคราะห์กระบวนการเรียนรู้ เป็นขั้นตอนการสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมดของผู้เรียนทั้งความรู้เดิมและความรู้ใหม่ และจัดสิ่งที่เรียนให้เป็นระบบระเบียบ
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้จดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่ายขึ้น รวมทั้งการวิเคราะห์กระบวนการเรียนรู้ทั้งหลายที่เกิดขึ้น
ขั้นที่ 6 การปฏิบัติหรือการแสดงผลงาน เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงผลงาน การสร้างความรู้ของตนให้กับผู้อื่นได้รับรู้
และเป็นการช่วยตอกย้ำหรือตรวจสอบความเข้าใจของตนเองและช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์แต่หากต้องมีการปฏิบัติตามข้อความรู้ที่ได้
ขั้นนี้จะเป็นขั้นปฏิบัติและมีการแสดงผลงานที่ได้ปฏิบัติด้วย
ขั้นที่ 7 การประยุกต์ใช้ความรู้ เป็นขั้นตอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้ความเข้าใจของตนไปใช้ในสถานการณ์ต่าง
ๆ ที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความชำนาญ
ความเข้าใจและความสามารถในการแก้ปัญหา
ขั้นตอนที่
1-6 เป็นกระบวนการของการสร้างความรู้ (construction of knowledge) ซึ่งครูสามารถจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนมีโอกาสปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
(interaction) และฝึกฝนทักษะกระบวนการต่าง ๆ (process learning) อย่างต่อเนื่องเนื่องจากขั้นตอนแต่ละขั้นตอนช่วยให้ผู้เรียนได้เคลื่อนไหวทำกิจกรรมหลากหลาย
มีส่วนร่วมทางกาย(physical
partcipation) จึงนับได้ว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการตื่นตัว (active) ทั้งทางกาย ทางสติปัญญา
ทางอารมณ์ และทางสังคม อันจะส่งผลให้ผู้เรียนสามารถรับรู้และเรียนรู้ได้ดี
จึงกล่าวได้ว่าขั้นตอนทั้ง 6 ขั้น มีคุณสมบัติตามหลักการ CIPP ส่วนขั้นตอนที่ 7
เป็นขั้นตอนที่ช่วยให้ผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ (Application) จึงทำให้รูปแบบนี้มีคุณสมบัติครบตามหลัก
CIPPA
จะเห็นว่า
กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา ดังกล่าวแม้จะสามารถช่วยอำนวยความสะดวกแก่ครูในการสอน
เนื่องจากมีกระบวนการหรือขั้นตอนที่ชัดเจน แต่ครูไม่สามารถใช้ในการสอนได้ทุกเรื่องและตลอดเวลาเนื่องจากข้อจำกัดต่าง
ๆ ในการสอนเช่น เวลา เนื้อหา แหล่งข้อมูล
และถึงแม้ว่าครูจะสามารถใช้ในการสอนทุก ๆ เรื่องที่รับผิดชอบก็ไม่สมควรทำเนื่องจากผู้เรียนอาจเกิดความเบื่อหน่ายได้
ครูจำเป็นต้องใช้รูปแบบ วิธีการ และเทคนิคการสอนที่หลากหลายเพื่อช่วยดึงดูดความสนใจของผู้เรียน ดังนั้นการใช้รูปแบบซิปปาในการสอนโดยครูวางกระบวนการหรือขั้นตอนการเรียนรู้รวมทั้งใช้เทคนิค
วิธีการที่หลากหลายที่เหมาะกับเนื้อหาสาระที่สอน
จะช่วยให้การจัดการเรียนการสอนของครูมีความหลากหลายมากขึ้น
ในขั้นตอนการจัดกิจกรรมผู้เรียนกับผู้สอน จะมีผลต่อการดำเนินการจัดกิจกรรมตามแบบซิปปา
เป็นอย่างมาก
เพราะผู้สอนจะต้องทำหน้าที่เป็นผู้กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดทักษะ/กระบวนการต่าง ๆ
ในขณะทำกิจกรรม และผู้เรียนจะต้องให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี (กุณฑรี เพ็ชรทวีพรเดช และคณะ, 2550:
56) โดยที่การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบซิปปา
มีลักษณะเหมือนกับการจัดการเรียนการสอนแบบอื่น ๆ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
1.
ขั้นเตรียมการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นขั้นตอนที่ผู้สอนควรศึกษาและวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้
เรื่องที่จะสอนในหลักสูตร ประเด็นที่สำคัญที่จะมาจัดกิจกรรม นอกจากนั้นผู้สอนจะต้องศึกษาแหล่งความรู้ที่หลากหลายที่พร้อมจะอำนวยความสะดวกให้กับผู้เรียน
2.
ขั้นวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นขั้นตอนที่ผู้สอนวิเคราะห์เนื้อหา กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ ความคิดรวบยอด ออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนผู้เรียนเป็นศูนย์กลางตามหลักการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักซิปปา
และกำหนดวิธีการวัดและการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน
3.
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นขั้นตอนที่ผู้สอนดำเนินการตามที่วางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักซิปปาไว้
บทบาทของผู้สอนจะทำหน้าที่
สร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ กระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจในการทำกิจกรรม ดูแล
อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เรียน ให้คำปรึกษา แนะนำ บันทึกปัญหาและข้อขัดแย้งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะทำกิจกรรม เพื่อใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนในครั้งต่อไป
บทบาทของผู้เรียนจะทำหน้าที่เข้าร่วมกิจกรรมด้วยความกระตือรือร้น
ให้ความร่วมมือและรับผิดชอบในการดำเนินกิจกรรม
เช่น การแสวงหาข้อมูล การศึกษา สืบค้นข้อมูล และการสรุป
รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น มีปฏิสัมพันธ์ โต้ตอบ คัดค้าน สนับสนุน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น
สามารถตัดสินใจและแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้
จากที่กล่าวมาข้างต้นประกอบกับข้อสรุปที่ได้จากการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ จะเห็นได้ว่าซิปปา
เป็นหลักการที่สามารถนำไปใช้เป็นหลักในการจัดการเรียนรู้ต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียนได้อย่างหลากหลาย
มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งพัฒนาผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนอย่างแท้จริง
โดยการให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยอาศัยความร่วมมือจากกลุ่มและพัฒนาทักษะกระบวนการต่าง
ๆ ทั้งนี้กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากการประยุกต์ใช้หลักซิปปาจะมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้สอนในการนำหลักการนี้ไปใช้ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับผู้เรียน
เนื้อหาสาระและวัตถุประสงค์ในการสอนเป็นสำคัญโดยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา
นี้สามารถใช้วิธีการและกระบวนการที่หลากหลาย และอาจจัดเป็นแบบแผนได้หลายรูปแบบตามความเหมาะสมของกิจกรรมการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน
เอกสารอ้างอิง
ทิศนา
แขมมณี และคณะ. 2544. วิทยาการด้านการคิด. กรุงเทพฯ : เดอะมาสเตอร์กรุ๊ปแมนเนสเม้นส์.
กุณฑรี
เพ็ชรทวีพรเดช, ธาริดา สริยาภรณ์, สุธิยา บังใบ, และ สุคนธ์ สินธพานนท์. 2550. สุดยอดวิธีสอนวิทยาศาสตร์นำไปสู่...การจัดการเรียนรู้ของครูยุคใหม่. นนทบุรี: บริษัทไทยร่มกล้า
จำกัด.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็นกับบทความ